รู้จักโรคฝีมะม่วงให้มากขึ้น ป้องกันก่อนสายเกินไป
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Infections: STI) เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ เพราะส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และยังเป็นประเด็นด้านสาธารณสุขที่สัมพันธ์กับการป้องกัน HIV และโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง หนึ่งในโรคที่หลายคนอาจไม่ค่อยคุ้นหูคือ โรคฝีมะม่วง (Lymphogranuloma Venereum: LGV) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis ชนิดรุนแรง แม้จะไม่พบได้บ่อยเท่าโรคหนองในหรือซิฟิลิส แต่ก็มีความอันตรายหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา
เราจะพาคุณมาทำความรู้จักโรคฝีมะม่วงอย่างละเอียด ตั้งแต่สาเหตุ อาการ การติดต่อ ภาวะแทรกซ้อน วิธีรักษา และการป้องกัน เพื่อสร้างความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจสุขภาพทางเพศก่อนจะสายเกินไป

โรคฝีมะม่วง คืออะไร?
โรคฝีมะม่วง (Lymphogranuloma Venereum : LGV) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis ชนิดรุนแรง ได้แก่ serovar L1, L2 และ L3 ซึ่งแตกต่างจากเชื้อ Chlamydia ที่ก่อให้เกิดหนองในเทียม (Chlamydia genital infection) ซึ่งมักมีอาการไม่รุนแรงเท่า
ลักษณะเด่นของโรคฝีมะม่วง คือเริ่มจากการมี ตุ่มหรือแผลเล็ก ๆ ที่อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือบริเวณปาก แผลเหล่านี้มักไม่เจ็บและหายไปเองภายในไม่กี่วัน ทำให้หลายคนไม่ทันสังเกต แต่เชื้อจะลุกลามเข้าสู่ระบบน้ำเหลือง ส่งผลให้ ต่อมน้ำเหลืองบวมโตและเจ็บปวด โดยเฉพาะที่ขาหนีบ ลักษณะการบวมนี้เองที่ทำให้โรคถูกเรียกว่า “ฝีมะม่วง” เพราะต่อมน้ำเหลืองมีรูปร่างบวมคล้ายผลมะม่วง
สาเหตุของโรคฝีมะม่วง
การติดเชื้อเกิดจากการแพร่กระจายของ Chlamydia trachomatis serovar L1–L3 เข้าสู่ร่างกายผ่านการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่งหรือแผลที่มีเชื้อ โดยเส้นทางหลักคือ
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก
- การสัมผัสกับแผลหรือตุ่มที่มีเชื้อ โดยตรง
- การใช้ของเล่นทางเพศที่ไม่สะอาด หรือไม่ได้ทำความสะอาดอย่างถูกวิธี ซึ่งอาจเป็นพาหะนำเชื้อเข้าสู่ร่างกาย
กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง
โรคฝีมะม่วงสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง แต่พบได้บ่อยในกลุ่มเฉพาะ เช่น
- ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) โดยเฉพาะผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
- ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน ซึ่งเพิ่มโอกาสสัมผัสเชื้อ
- ผู้ที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ ทั้งทางช่องคลอด ปาก และทวารหนัก
อาการของโรคฝีมะม่วง
โรคฝีมะม่วง (Lymphogranuloma Venereum: LGV) มีลักษณะอาการที่เปลี่ยนแปลงไปตามระยะของโรค ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะหลัก ๆ ดังนี้
ระยะที่ 1: ระยะเริ่มต้น
- ผู้ป่วยจะมี ตุ่มหรือแผลขนาดเล็ก ที่บริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือปาก
- แผลเหล่านี้มัก ไม่เจ็บ ไม่คัน และมักหายไปเองภายใน 3–5 วัน
- ด้วยเหตุนี้ ผู้ป่วยจำนวนมากจึง ไม่ทันสังเกตหรือคิดว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ทำให้โรคเข้าสู่ระยะถัดไปโดยไม่ได้รับการรักษา
ระยะที่ 2: ระยะต่อมน้ำเหลือง
- เชื้อจะลุกลามเข้าสู่ระบบน้ำเหลือง ทำให้ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบบวมโต เจ็บปวด กดแล้วปวด
- ต่อมน้ำเหลืองบางก้อนอาจเกิดการอักเสบรุนแรงและเป็นหนอง เมื่อแตกออกจะกลายเป็นแผลที่เจ็บและรักษายาก
- ในกรณีที่เชื้อเข้าสู่ทวารหนัก อาจทำให้เกิดอาการ ปวดท้อง ท้องเสียเป็นเลือด หรือมีมูกปนเลือด คล้ายอาการลำไส้อักเสบเรื้อรัง
ระยะที่ 3: ระยะเรื้อรัง หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อจะก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและส่งผลกระทบต่อระบบน้ำเหลือง
- เกิด พังผืดและแผลเป็น ภายใน ทำให้ท่อน้ำเหลืองอุดตัน
- ส่งผลให้เกิดการ บวมเรื้อรังของอวัยวะเพศหรือทวารหนัก (Lymphatic obstruction) ซึ่งอาจรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
- ในระยะยาวยัง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งทวารหนักหรือมะเร็งอวัยวะเพศ
ภาวะแทรกซ้อนของโรคฝีมะม่วง
หากโรคไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น
- ต่อมน้ำเหลืองอักเสบเรื้อรังและแตกเป็นแผล ทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำซ้อน
- การอุดตันของระบบน้ำเหลือง ส่งผลให้อวัยวะเพศหรือทวารหนักบวมโตผิดปกติ คล้ายภาวะช้างเท้าจากโรคพยาธิ
- ทวารหนักตีบแคบ ทำให้ถ่ายอุจจาระลำบากเรื้อรัง
- เสี่ยงต่อมะเร็งในระยะยาว โดยเฉพาะมะเร็งทวารหนักและมะเร็งอวัยวะเพศ เนื่องจากการอักเสบเรื้อรัง
การวินิจฉัยโรคฝีมะม่วง
การวินิจฉัยโรคฝีมะม่วง (Lymphogranuloma Venereum: LGV) ไม่สามารถทำได้เพียงแค่ดูจากอาการภายนอกเท่านั้น เพราะอาการหลายอย่างอาจคล้ายกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น ซิฟิลิส หนองใน หรือวัณโรคของต่อมน้ำเหลือง ดังนั้น แพทย์จึงต้องใช้การตรวจหลายวิธีร่วมกันเพื่อความแม่นยำ ได้แก่
- การซักประวัติและตรวจร่างกาย: แพทย์จะสอบถามประวัติการมีเพศสัมพันธ์ พฤติกรรมเสี่ยง และตรวจอาการทางร่างกาย เช่น การบวมโตของต่อมน้ำเหลือง
- การเก็บตัวอย่างหนองหรือตุ่ม: เพื่อนำไปตรวจหาเชื้อ Chlamydia trachomatis
- การตรวจเลือด: ตรวจหาแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นต่อเชื้อ Chlamydia
- การตรวจทางอณูชีววิทยา (PCR – Polymerase Chain Reaction): ใช้เพื่อยืนยันชนิดของเชื้ออย่างแม่นยำ และแยกออกจากโรคอื่นที่มีอาการใกล้เคียง
การวินิจฉัยที่ถูกต้องตั้งแต่ระยะแรกมีความสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที และลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การรักษาโรคฝีมะม่วง
เมื่อได้รับการยืนยันว่าเป็นโรคฝีมะม่วง แพทย์จะทำการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ โดยแนวทางมาตรฐาน คือ
- Doxycycline 100 มก. วันละ 2 ครั้ง ต่อเนื่องนาน 21 วัน
- หรือใช้ยาทางเลือกอื่น เช่น Erythromycin หรือ Azithromycin ตามดุลยพินิจของแพทย์
ในกรณีที่ ต่อมน้ำเหลืองอักเสบมาก หรือมีหนองสะสม อาจจำเป็นต้องทำการ เจาะระบายหนอง ร่วมด้วย เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดและลดการติดเชื้อแทรกซ้อน
ข้อควรปฏิบัติของผู้ป่วยระหว่างการรักษา
- ควรงดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะรักษาหาย
- ควรชวนคู่นอนมารับการตรวจและรักษาพร้อมกัน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อซ้ำไปมา
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และรับประทานยาจนครบคอร์ส
หากรักษาตั้งแต่ระยะแรก โอกาสหายขาดมีสูง และสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น การอุดตันของระบบน้ำเหลือง หรือการบวมเรื้อรังของอวัยวะเพศและทวารหนักได้
การป้องกันโรคฝีมะม่วง
การป้องกันยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อโรคฝีมะม่วง รวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ปาก หรือทวารหนัก
- หลีกเลี่ยงการใช้ของเล่นทางเพศร่วมกัน หากจำเป็นต้องใช้ ควรทำความสะอาดอย่างถูกวิธีก่อนและหลังใช้งาน
- ตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีคู่นอนหลายคน หรือผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM)
- รีบพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ เช่น ต่อมน้ำเหลืองขาหนีบบวมโต มีแผลที่อวัยวะเพศ หรือมีอาการเจ็บปวดผิดปกติ
อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม
- ตรวจโรคซิฟิลิสเมื่อไรดี? คำตอบสำหรับคนที่มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน
- โรคหนองในอันตรายไหม? ตอบทุกคำถามที่คุณกังวล
โรคฝีมะม่วง (Lymphogranuloma Venereum: LGV) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อาจไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย แต่มีความรุนแรงหากไม่ได้รับการรักษา การทำความเข้าใจสาเหตุ อาการ การวินิจฉัย และวิธีรักษาจะช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลตนเองได้ดียิ่งขึ้น
การใช้ถุงยางอนามัย ตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอ และรีบพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณปลอดภัยจากโรคฝีมะม่วงและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ
เอกสารอ้างอิง
- World Health Organization (WHO). Lymphogranuloma venereum (LGV): Key facts and global health perspective. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.who.int
- Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Lymphogranuloma Venereum (LGV) – Symptoms, Diagnosis, and Treatment. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.cdc.gov/std/lgv
- UNAIDS. Sexual health and sexually transmitted infections: Global updates. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.unaids.org
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ข้อมูลโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และมาตรการควบคุมโรคในประเทศไทย. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th
- สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). บทความความรู้เรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการป้องกัน. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.thaihealth.or.th/โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
