ทำไมการระบาดของโรคฝีดาษลิงจึงถูกเชื่อมโยงกับพฤติกรรมทางเพศ
โรคฝีดาษลิง (Monkeypox หรือ Mpox) กลายเป็นประเด็นสำคัญในวงการสาธารณสุขโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อมีการระบาดในหลายประเทศพร้อมกันในปี 2022–2023 และต่อเนื่องในบางพื้นที่ แม้เดิมทีโรคนี้จะถูกพบในแอฟริกาเป็นหลัก แต่การแพร่กระจายระหว่างคนสู่คนในครั้งนี้กลับเกิดขึ้นในวงกว้าง และมีรายงานจำนวนมากที่พบการติดเชื้อในกลุ่มผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย (MSM) จนเกิดการตั้งคำถามว่าทำไมการระบาดของโรคฝีดาษลิงจึงถูกเชื่อมโยงกับพฤติกรรมทางเพศ
การเชื่อมโยงนี้ไม่ได้หมายความว่าโรคฝีดาษลิงเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แบบเดียวกับเอชไอวีหรือซิฟิลิส แต่เพราะเส้นทางการแพร่เชื้อของไวรัสสามารถเกิดได้จากการสัมผัสใกล้ชิดทางกาย รวมถึงการสัมผัสผิวหนังที่มีผื่นหรือแผลในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้น การเข้าใจกลไกนี้อย่างถูกต้องเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อลดการตีตราและเพิ่มการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ

โรคฝีดาษลิง คืออะไร?
โรคฝีดาษลิง (Monkeypox หรือ Mpox) เกิดจากเชื้อ Monkeypox virus ในตระกูล Orthopoxvirus ซึ่งมีความใกล้เคียงกับไวรัสฝีดาษในคน (Smallpox) แต่โดยทั่วไปมีความรุนแรงน้อยกว่า
เชื้อนี้ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1958 จากการระบาดในกลุ่มลิงทดลองในห้องปฏิบัติการ และมีรายงานการติดเชื้อในคนครั้งแรกในปี 1970 ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (Democratic Republic of the Congo)
ในอดีต การระบาดส่วนใหญ่จำกัดอยู่ในพื้นที่แอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก โดยมักเกิดจากการสัมผัสสัตว์ป่าที่เป็นพาหะ เช่น หนูหรือลิง ซึ่งอาจติดเชื้อมาจากธรรมชาติ
แต่การระบาดในยุคปัจจุบัน ช่วงปี 2022–2023 มีการระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลกที่แตกต่างจากรูปแบบเดิม เนื่องจากพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากในประเทศที่ไม่เคยมีรายงานมาก่อน เส้นทางการแพร่เชื้อส่วนใหญ่เป็นการ แพร่จากคนสู่คน ผ่านการสัมผัสใกล้ชิด เช่น การสัมผัสผิวหนังที่มีผื่นหรือตุ่ม ร่วมใช้ของใช้ส่วนตัว หรืออยู่ใกล้ชิดกันเป็นเวลานาน
เชื้อไวรัสฝีดาษลิงสามารถแพร่จากคนสู่คนได้หลายทาง ได้แก่
- สัมผัสโดยตรงกับผื่น ตุ่ม หรือแผล ของผู้ติดเชื้อ
- สัมผัสสิ่งของหรือผ้าปนเปื้อนเชื้อ เช่น ผ้าปูที่นอน ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า
- การสูดดมหรือติดเชื้อจากละอองน้ำลายหรือสารคัดหลั่ง ขณะอยู่ใกล้กันเป็นเวลานาน
- การสัมผัสใกล้ชิดทางเพศ ซึ่งไม่ใช่เส้นทางเดียว แต่พบได้บ่อยในระบาดรอบล่าสุด เนื่องจากมีการสัมผัสผิวหนังบริเวณกว้างและยาวนานระหว่างกิจกรรมทางเพศ
การเชื่อมโยงระหว่างโรคฝีดาษลิงและพฤติกรรมทางเพศ
สถิติผู้ป่วยและรูปแบบการแพร่ระบาดล่าสุด
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐอเมริกา (CDC) ในช่วงการระบาดปี 2022 ระบุว่า
- มากกว่า 90% ของผู้ติดเชื้อในหลายประเทศเป็นเพศชาย
- ในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีประวัติการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย (MSM) หรือมีคู่นอนหลายคนภายในช่วง 2–3 สัปดาห์ก่อนเริ่มป่วย
- คลัสเตอร์การระบาดมักพบใน งานปาร์ตี้ สถานบันเทิง หรือการนัดพบผ่านแอปเดต ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่มีการสัมผัสใกล้ชิดระหว่างคนจำนวนมาก
แม้สถิตินี้จะสะท้อนว่ามีการระบาดเด่นในเครือข่ายชายรักชาย แต่ ไม่ได้หมายความว่าโรคฝีดาษลิงเป็นโรคเฉพาะของกลุ่มนี้ เพราะการแพร่เชื้อเกิดได้ในทุกเพศและทุกกลุ่มที่มีการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ
การติดต่อผ่านการสัมผัสใกล้ชิดระหว่างมีเพศสัมพันธ์
ฝีดาษลิง ไม่ถูกจัดว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) ตามความหมายดั้งเดิม แต่การมีเพศสัมพันธ์มีลักษณะของการสัมผัสทางกายหลายอย่างที่เอื้อต่อการแพร่เชื้อ เช่น
- การสัมผัสผิวหนังบริเวณกว้างและนาน ทำให้เชื้อไวรัสที่อยู่ในผื่นหรือตุ่มถ่ายทอดได้ง่าย
- การสัมผัสของเหลวในร่างกาย เช่น น้ำหล่อลื่น น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งต่าง ๆ ที่อาจมีไวรัสปนอยู่
- การสัมผัสผื่นหรือตุ่มที่อวัยวะเพศหรือรอบทวารหนัก ซึ่งเป็นตำแหน่งที่พบผื่นบ่อยในระบาดรอบล่าสุด
กิจกรรมทางเพศจึงทำหน้าที่เป็น “ช่องทาง” ของการสัมผัสใกล้ชิด ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของการแพร่โรค
ปัจจัยเสี่ยงจากพฤติกรรมทางเพศ
บางพฤติกรรมสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อฝีดาษลิง ได้แก่
- มีคู่นอนหลายคนในระยะสั้น เพิ่มจำนวนโอกาสสัมผัสเชื้อ
- ไม่สังเกตอาการผื่นหรือแผลของคู่ ทำให้พลาดโอกาสป้องกันก่อนเกิดการสัมผัส
- เข้าร่วมกิจกรรมที่มีการสัมผัสผิวหนังมาก เช่น งานเต้นรำในสถานที่ปิด แออัด
- การใช้แอปเดตที่เพิ่มโอกาสพบคู่ใหม่บ่อยครั้ง ทำให้เครือข่ายการสัมผัสเชื่อมโยงกันมากขึ้น
ฝีดาษลิงกับชุมชนชายรักชาย (MSM) — เหตุผลที่ถูกพูดถึงมาก
ทำไมกลุ่มนี้ถูกมองว่ามีความเสี่ยงสูง เพราะการระบาดในช่วงต้นของปี 2022 พบผู้ป่วยจำนวนมากในงานและสถานที่ที่มีชายรักชายเข้าร่วมเป็นส่วนใหญ่ ทำให้หน่วยงานสาธารณสุขต้องเร่งให้ข้อมูลกับกลุ่มนี้เพื่อหยุดวงจรการระบาดอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงไม่ได้เกิดจากรสนิยมทางเพศ แต่เกิดจากรูปแบบการสัมผัสและเครือข่ายกิจกรรมที่เชื่อมโยงกันแน่นหนาในช่วงเวลานั้น
ผลกระทบด้านการตีตราและการเลือกปฏิบัติ
การสื่อสารที่ไม่รอบคอบอาจทำให้เกิดการเหมารวมว่าโรคฝีดาษลิงเป็น โรคของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งก่อให้เกิดปัญหา 2 ประการสำคัญ
- การตีตราและเลือกปฏิบัติ ทำให้ผู้ที่เสี่ยงอาจไม่กล้าเข้ารับการตรวจหรือแจ้งข้อมูลสัมผัสเสี่ยง
- การละเลยความเสี่ยงในกลุ่มอื่น เพราะเข้าใจผิดว่าตนไม่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายของโรค
เพื่อลดผลกระทบนี้ จำเป็นต้องสื่อสารอย่างชัดเจนว่า ฝีดาษลิงสามารถเกิดได้กับทุกคน ที่มีการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ และทุกคนควรปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน
อาการของโรคฝีดาษลิง
ระยะฟักตัวโดยเฉลี่ย 6–13 วัน (นานสุด 21 วัน) อาการมักแบ่งเป็น 2 ระยะ
- ระยะก่อนเกิดผื่น (Prodromal stage)
- ไข้ หนาวสั่น
- ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- ต่อมน้ำเหลืองโต (เป็นลักษณะเด่นที่ต่างจากฝีดาษในคน)
- อ่อนเพลีย
- ระยะผื่น (Rash stage)
- ผื่นเริ่มเป็นจุดแดง → นูน → ตุ่มน้ำ → หนอง → ตกสะเก็ด
- อาจขึ้นที่ใบหน้า มือ เท้า อวัยวะเพศ รอบทวารหนัก หรือทั่วร่างกาย
- อาการผื่นอยู่ได้ 2–4 สัปดาห์

การรักษาโรคฝีดาษลิง
- การดูแลประคับประคอง (ส่วนใหญ่ใช้วิธีนี้)
- ลดไข้และบรรเทาปวดด้วยยาพาราเซตามอลหรือยาตามแพทย์สั่ง
- รักษาความสะอาดผิวหนัง เลี่ยงการเกาเพื่อลดติดเชื้อแทรกซ้อน
- ดื่มน้ำมาก ๆ และพักผ่อนเพียงพอ
- หากมีอาการคัน อาจใช้ยาทาหรือยาแก้แพ้ตามคำแนะนำแพทย์
- ยาต้านไวรัส (ใช้เฉพาะผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงสูงหรืออาการรุนแรง)
- Tecovirimat (TPOXX)
- Brincidofovir หรือ Cidofovir (ใช้ในบางกรณี)
- การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
- การแยกตัวเพื่อลดการแพร่เชื้อ
- แยกห้องนอนและของใช้ส่วนตัว
- ทำความสะอาดพื้นผิวและซักผ้าด้วยน้ำร้อน
- ผู้ดูแลควรใส่ถุงมือและหน้ากาก
การป้องกันโรคฝีดาษลิง
- หลีกเลี่ยงสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีผื่นหรือตุ่มผิดปกติ
- ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น (ผ้าขนหนู เสื้อผ้า ผ้าปูที่นอน)
- รักษาสุขอนามัย ล้างมือบ่อยด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล
- สวมหน้ากากในพื้นที่แออัดหรือขณะดูแลผู้ป่วย
- ในบางประเทศ แนะนำวัคซีน MVA-BN (JYNNEOS) หรือ ACAM2000 สำหรับผู้สัมผัสใกล้ชิดหรือกลุ่มเสี่ยง
- งดกิจกรรมทางเพศหรือสัมผัสผิวหนังโดยตรงกับผู้ที่มีอาการจนกว่าจะหายสนิท
อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม
- การรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เข้าใจแนวทางใหม่เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น
- ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ปลอดภัย และมั่นใจ
การระบาดของโรคฝีดาษลิงในช่วงที่ผ่านมาเชื่อมโยงกับพฤติกรรมทางเพศ เพราะเส้นทางการแพร่เชื้อมักเกิดในบริบทของการสัมผัสใกล้ชิด เช่น ระหว่างมีเพศสัมพันธ์ แต่ไม่ได้จำกัดอยู่ที่เพศหรือรสนิยมใด การสื่อสารที่ถูกต้อง การป้องกันเชิงพฤติกรรม และการใช้วัคซีนในกลุ่มเสี่ยง เป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมการระบาดและลดผลกระทบทางสังคม
เอกสารอ้างอิง
- World Health Organization (WHO). Mpox – Fact Sheet. ข้อมูลเกี่ยวกับการแพร่เชื้อ อาการ และการป้องกันโรคฝีดาษลิง. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/mpox
- World Health Organization (WHO). Mpox – Health Topic Page. ภาพรวมสถานการณ์และแนวทางการควบคุมโรคฝีดาษลิง. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/health-topics/mpox
- Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Safer Sex, Social Gatherings, and Mpox. คำแนะนำการลดความเสี่ยงการติดเชื้อฝีดาษลิงระหว่างมีเพศสัมพันธ์และกิจกรรมใกล้ชิด. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/mpox/prevention/safer-sex-social-gatherings-and-mpox.html
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ข้อมูลสถานการณ์และการป้องกันโรคฝีดาษลิงในประเทศไทย. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th
- โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS). Information & Guidance Note on the Mpox Response. แนวทางการสื่อสารและทำงานร่วมกับชุมชนเพื่อป้องกันการตีตรา. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.unaids.org/sites/default/files/media_asset/mpox-response_en.pdf