รู้ทันโรคแผลริมอ่อน จากการติดเชื้อสู่การดูแลรักษาอย่างถูกวิธี
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) เป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณสุขที่ยังคงท้าทายทั่วโลก และหนึ่งในโรคที่หลายคนอาจไม่คุ้นเคยนักคือ โรคแผลริมอ่อน (Chancroid) โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Haemophilus ducreyi ซึ่งทำให้เกิดแผลเจ็บปวดบริเวณอวัยวะเพศ และสามารถแพร่กระจายได้ง่ายหากไม่มีการป้องกันที่ถูกต้อง
แม้จะไม่พบบ่อยเท่าซิฟิลิสอ หรือหนองใน แต่โรคแผลริมอ่อนก็มีความรุนแรง และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก หากไม่ได้รับการวินิจฉัย และรักษาอย่างเหมาะสม ผู้ป่วยอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ได้มากขึ้น

โรคแผลริมอ่อน คืออะไร?
โรคแผลริมอ่อน (Chancroid) คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Haemophilus ducreyi เชื้อนี้ทำให้เกิดแผลเปิดที่อวัยวะเพศซึ่งมีลักษณะเจ็บปวด แตกต่างจากแผลริมแข็งของโรคซิฟิลิสที่มักไม่เจ็บ
ลักษณะสำคัญของแผลริมอ่อน
- มักเริ่มต้นจากตุ่มแดงหรือตุ่มหนองเล็ก ๆ
- แตกออกกลายเป็นแผลตื้น ๆ ที่ขอบไม่เรียบ
- มีหนองหรือเลือดซึมออกมา
- มักมีอาการเจ็บมาก โดยเฉพาะขณะเดิน นั่ง หรือปัสสาวะ
- ในบางรายอาจเกิด ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต และเจ็บ (Bubo) ซึ่งอาจแตกออกมาเป็นหนองได้
โรคแผลริมอ่อนติดต่อได้อย่างไร?
โรคนี้แพร่กระจายหลัก ๆ ผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือทางปาก
ช่องทางการติดเชื้อ
- การสัมผัสโดยตรงกับแผลที่มีเชื้อ หากมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีแผลริมอ่อน เชื้อสามารถถ่ายทอดเข้าสู่ร่างกายได้ทันที
- การใช้ถุงยางอนามัยไม่สม่ำเสมอหรือไม่ถูกวิธี ถึงแม้การใช้ถุงยางจะช่วยลดความเสี่ยง แต่ถ้าใช้ผิดวิธีก็ยังสามารถติดเชื้อได้
- การมีคู่นอนหลายคน เพิ่มโอกาสการสัมผัสเชื้อจากผู้ที่ไม่รู้ตัวว่ามีโรค
- การใช้ของร่วมกันที่ปนเปื้อน แม้จะพบน้อย แต่ก็มีรายงานการติดจากการใช้ของที่สัมผัสแผล เช่น ผ้าเช็ดตัว
อาการของโรคแผลริมอ่อน
ระยะฟักตัว (กี่วันถึงจะเริ่มมีอาการ) โดยทั่วไป ประมาณ 4–10 วัน หลังได้รับเชื้อ (พบบ่อย 4–7 วัน) บางคนอาจสังเกตว่าเริ่ม คัน/แสบเล็กน้อยเป็นจุด ก่อนจะกลายเป็นตุ่ม
ลำดับการเปลี่ยนแปลงของแผล (รอยโรค)
- ตุ่มนูนแดง ขนาดไม่กี่มิลลิเมตร
- กลายเป็น ตุ่มหนอง
- แตกเป็นแผลตื้น ที่ขอบไม่เรียบ และปวดมาก
ขนาดแผลโดยทั่วไป ~0.5–2 ซม. อาจใหญ่ขึ้นหรือหลายแผลมาชิดกันจนดูเป็นปื้นเดียว ฐานแผลมักมี คราบเหลืองเทา/เนื้อตาย (necrotic base) ขอบแผล ไม่เรียบ และคล้ายถูกกัดบ่อน กดแล้วเลือดออกง่าย มีกลิ่นเหม็นได้ในบางราย
อาการหลัก (ที่คนไข้มักรู้สึก)
- เจ็บ/แสบมาก ตลอดเวลา ยิ่ง ปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์จะยิ่งเจ็บ
- รู้สึก บวม แดง ร้อน บริเวณรอยโรค
- บางคนมี หนอง หรือ เลือดซึม จากแผล
- มักมี มากกว่า 1 แผล เพราะ “autoinoculation” คือเชื้อกระจายจากแผลเดิมไปจุดใกล้เคียง
ตำแหน่งที่พบบ่อย (ชาย–หญิงต่างกัน)
- ผู้ชาย: หนังหุ้มปลาย (prepuce), รอยต่อใต้หนังหุ้มปลาย (frenulum), ขอบมงกุฎ/ปลายองคชาต, โคนอวัยวะเพศ, ผิวหนังถุงอัณฑะ
- ผู้หญิง: แคมเล็ก–แคมใหญ่, ปากช่องคลอด (introitus), ฝีเย็บ, รอบทวารหนัก และอาจเกิดด้านในช่องคลอด/ปากมดลูก (มองไม่เห็นจากภายนอก)
- บริเวณอื่น: รอบทวารหนัก (จากเพศทางทวารหนัก) หรือปาก/ริมฝีปาก (จาก oral sex) — พบน้อยกว่า
อาการร่วม (ระบบอื่น/ต่อมน้ำเหลือง)
- ต่อมน้ำเหลืองขาหนีบโต เจ็บมาก (inguinal lymphadenitis)
- พบบ่อยข้างเดียว แต่เป็นสองข้างก็ได้
- คลำได้ก้อนโต ร้อน แดง เจ็บ กดเจ็บมาก
- เมื่อมีหนองสะสมจะกลายเป็น “bubo” (ไส้ติ่งหนองของต่อมน้ำเหลือง) อาจนุ่ม คลื่นไหว และ แตกทะลุผิวหนัง กลายเป็นรูระบายหนองได้
- อาจมี ไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อย/อ่อนเพลีย ในรายที่การอักเสบรุนแรง
- แสบขณะปัสสาวะ (dysuria) และ เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ (dyspareunia) พบได้ โดยเฉพาะเมื่อแผลอยู่บริเวณทางเข้า–ออกของท่อปัสสาวะหรือปากช่องคลอด
ความแตกต่างจากโรคอื่น (แยกโรคให้ชัด)
- ซิฟิลิสระยะแรก (แผลริมแข็ง): แผล มักไม่เจ็บ, ขอบเรียบ เรียกว่า clean-based ulcer และต่อมน้ำเหลืองโต มักไม่เจ็บ
- เริมอวัยวะเพศ (HSV): เริ่มเป็น ตุ่มน้ำใสหลายตุ่ม แล้วแตกเป็นแผลตื้น หลายจุด เจ็บแสบ และมักกำเริบซ้ำเป็นระยะ
- Lymphogranuloma venereum (LGV): แผลเริ่มเล็ก/ไม่เด่น แล้วเด่นที่ ต่อมน้ำเหลืองโตมาก เจ็บปวด มีรูทะลุ
- Granuloma inguinale (Donovanosis): แผล นุ่ม ไม่เจ็บ ขอบนูนแดง “beefy red” เลือดออกง่าย ไม่มี ต่อมน้ำเหลืองโตชัด
ข้อสังเกต แผลริมอ่อน ที่ช่วยชี้เป้า: เจ็บมาก, ขอบไม่เรียบเหมือนถูกบ่อน, ฐานแผลมีคราบเนื้อตาย, ต่อมน้ำเหลืองขาหนีบโต และ เจ็บ จนเดินลำบาก
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นถ้าไม่รักษา
- แผลเรื้อรัง/แผลใหญ่/แผลหลายแห่ง หายยาก และกลับเป็นซ้ำ
- ติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน มีหนอง มีกลิ่น และผิวหนังรอบแผลอักเสบ
- พังผืด และรอยแผลเป็น ทำให้ผิวหนังตึงผิดรูป (เช่น หนังหุ้มปลายตีบ/รูดไม่ได้ phimosis/paraphimosis ในผู้ชาย)
- บูโบแตกเป็นรู (sinus tract) ที่ขาหนีบ ต้องทำแผลนาน
- เพิ่มความเสี่ยงติด และแพร่เชื้อ HIV เนื่องจากแผลเปิดทำให้เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย/ออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้น
สัญญาณเตือนที่ควรพบแพทย์ทันที
- แผลอวัยวะเพศ เจ็บมาก และ เกิน 7 วันไม่ดีขึ้น
- มีก้อน ต่อมน้ำเหลืองขาหนีบโต เจ็บ/นุ่ม คลื่นไหว หรือมีหนอง
- มี ไข้สูง หนาวสั่น ปวดบวมแดงมาก หรือกลิ่นเหม็นจากแผล
- มีความเสี่ยงสูงจากเพศสัมพันธ์ล่าสุด (ถุงยางแตก/ไม่ใช้ถุงยาง/คู่นอนหลายคน)
- ตั้งครรภ์/ภูมิคุ้มกันบกพร่อง/ติดเชื้อ HIV — ควรประเมิน และรักษาเร็วเป็นพิเศษ
การวินิจฉัยโรคแผลริมอ่อน
โรคแผลริมอ่อนมีอาการคล้ายโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น ซิฟิลิส หรือเริม ดังนั้นแพทย์ต้องแยกโรคให้ชัดเจน
ขั้นตอนการวินิจฉัย
- การซักประวัติ (Medical & Sexual History)
- ประวัติการมีเพศสัมพันธ์ไม่ป้องกัน
- การมีคู่นอนหลายคนหรือสัมพันธ์กับกลุ่มเสี่ยง
- ระยะเวลาที่เริ่มมีอาการ เช่น ตุ่ม → แตกเป็นแผล
- การตรวจร่างกาย (Physical Examination)
- ตรวจลักษณะแผล: ขอบไม่เรียบ เจ็บมาก มีหนอง
- ตรวจต่อมน้ำเหลืองขาหนีบ: โต เจ็บ อาจคลำได้ก้อนหนอง (bubo)
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการ (Lab Tests)
- การย้อมเชื้อจากแผล (Gram stain): หาคุณสมบัติของเชื้อ Haemophilus ducreyi
- การเพาะเชื้อ: วิธีมาตรฐานแต่ทำได้ยาก ใช้ในห้องปฏิบัติการเฉพาะ
- การตรวจแยกโรค:
- ตรวจซิฟิลิส (VDRL, RPR, TPHA)
- ตรวจเริม (PCR หรือ Tzanck test)
- ตรวจ HIV และ STIs อื่น ๆ ควบคู่ เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้มีโอกาสติดเชื้อร่วม

การรักษาโรคแผลริมอ่อน
โรคนี้สามารถรักษาได้หายขาดหากได้รับ ยาปฏิชีวนะ (antibiotics) ที่เหมาะสม และรักษาคู่นอนพร้อมกัน
ระยะเวลาการหาย (โดยประมาณ)
- เมื่อรักษาด้วยยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม
- อาการเจ็บมักดีขึ้นภายใน 48–72 ชั่วโมง
- แผลค่อย ๆ ตื้น และปิดใน 7–14 วัน (แล้วแต่ขนาด/ตำแหน่ง/ภูมิคุ้มกัน)
- หากไม่ได้รักษา: แผลอาจคงอยู่นาน หลายสัปดาห์–หลายเดือน ทิ้งรอยแผลเป็น และภาวะแทรกซ้อน
ยาปฏิชีวนะที่แนะนำ
- Azithromycin 1 กรัม รับประทานครั้งเดียว
- Ceftriaxone 250 มก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อครั้งเดียว
- Ciprofloxacin 500 มก. วันละ 2 ครั้ง นาน 3 วัน
- Erythromycin 500 มก. วันละ 4 ครั้ง นาน 7 วัน
การเลือกใช้ยาขึ้นอยู่กับอายุ, การตั้งครรภ์ และประวัติการแพ้ยา
การดูแลร่วม (Supportive Care)
- รักษาความสะอาดแผลทุกวัน → ป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
- งดเพศสัมพันธ์จนกว่าแผลจะหายสนิท
- ตรวจ และรักษาคู่นอนพร้อมกัน → ตัดวงจรการแพร่เชื้อ
- ติดตามผลการรักษา → ปกติแผลจะเริ่มดีขึ้นใน 3–7 วัน
การป้องกันโรคแผลริมอ่อน
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ไม่ว่าจะทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือปาก
- ลดจำนวนคู่นอน และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง
- ตรวจสุขภาพทางเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือทุก 3–6 เดือนหากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง
- พูดคุยเรื่องสุขภาพกับคู่นอน อย่างเปิดเผย
- หากพบแผลผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ → การรักษาเร็วช่วยลดโอกาสภาวะแทรกซ้อน
อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม
- ตรวจโรคซิฟิลิสเมื่อไรดี? คำตอบสำหรับคนที่มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน
- โรคหนองในอันตรายไหม? ตอบทุกคำถามที่คุณกังวล
โรคแผลริมอ่อน (Chancroid) แม้จะไม่ใช่โรคที่พบได้บ่อยนัก แต่ก็เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ต้องให้ความสำคัญ การรู้จักอาการ ความเสี่ยง และแนวทางการรักษาจะช่วยให้คุณสามารถดูแลสุขภาพได้อย่างถูกต้อง หากมีแผลผิดปกติบริเวณอวัยวะเพศ ควรรีบพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัย และรักษาอย่างเหมาะสม
การป้องกันยังคงเป็นหัวใจสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ถุงยางอนามัย การตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ หรือการพูดคุยเรื่องสุขภาพกับคู่นอน เพราะสุขภาพทางเพศที่ปลอดภัยคือพื้นฐานของคุณภาพชีวิตที่ดี
เอกสารอ้างอิง
- World Health Organization (WHO). Sexually transmitted infections (STIs). [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/sexually-transmitted-infections-(stis)
- Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Chancroid – 2015 STD Treatment Guidelines. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.cdc.gov/std/tg2015/chancroid.htm
- UNAIDS. Global HIV & AIDS statistics — Fact sheet. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.unaids.org/en/resources/fact-sheet
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th
- มูลนิธิเพื่อพัฒนาการคุ้มครองผู้บริโภค (มพบ.). ข้อมูลสุขภาพและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.consumerthai.org