เซ็กส์ไม่ปลอดภัย เสี่ยงติดไวรัสตับอักเสบบีได้จริงหรือ?
ในยุคที่การให้ความสำคัญกับสุขภาพทางเพศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลายคนอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อันตราย เช่น ซิฟิลิส หนองใน หรือเอชไอวี แต่โรคหนึ่งที่มักถูกมองข้ามไป คือ ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virus : HBV) ทั้งที่จริงแล้ว ไวรัสชนิดนี้สามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้เช่นเดียวกัน และยังเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของโรคตับแข็ง และมะเร็งตับในประเทศไทย เราจะพาคุณเจาะลึกถึงความจริงว่า เซ็กส์ไม่ปลอดภัย จะเสี่ยงติดไวรัสตับอักเสบบีจริงหรือไม่ และควรป้องกันอย่างไร

ไวรัสตับอักเสบบี คืออะไร?
ไวรัสตับอักเสบบี (HBV) เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบของตับ หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ เชื้อไวรัสชนิดนี้จัดเป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เนื่องจากสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อได้ เช่น เลือด น้ำอสุจิ และสารคัดหลั่งในช่องคลอด
ประเทศไทยถือเป็นพื้นที่ที่มีการระบาดของไวรัสตับอักเสบบีในระดับปานกลางถึงสูง แม้ในปัจจุบันอัตราการติดเชื้อในเด็กแรกเกิดลดลงอย่างมากจากการฉีดวัคซีน แต่ในกลุ่มผู้ใหญ่ และผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ยังคงพบผู้ติดเชื้ออยู่ไม่น้อย
การติดต่อของไวรัสตับอักเสบบี
ไวรัสตับอักเสบบีสามารถติดต่อได้หลายทาง โดยหนึ่งในนั้นคือการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย รายละเอียดของเส้นทางการติดต่อ ได้แก่
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ทั้งเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทางทวารหนัก และทางปาก สามารถนำเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ หากมีการสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ
- การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้สารเสพติด หรือการสัก/เจาะร่างกายที่ไม่ได้มาตรฐาน
- การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก ขณะตั้งครรภ์หรือระหว่างการคลอด
- การสัมผัสเลือดโดยตรง เช่น การใช้ของมีคมร่วมกัน
ทำไมเซ็กส์ไม่ปลอดภัยถึงเสี่ยงต่อไวรัสตับอักเสบบี
การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย หมายถึง การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลายคนโดยไม่ตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอ สิ่งนี้ทำให้เพิ่มโอกาสการสัมผัสกับเชื้อไวรัสในสารคัดหลั่งโดยตรง
- ช่องคลอด และทวารหนัก มีเยื่อบุที่บอบบาง และฉีกขาดได้ง่าย การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันจึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือด
- เลือด และน้ำอสุจิ ของผู้ติดเชื้ออาจมีไวรัสอยู่ในปริมาณสูง การมีเซ็กส์โดยไม่ใช้การป้องกันเท่ากับเปิดโอกาสให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายโดยตรง
- ความเข้าใจผิด ที่คิดว่าไวรัสตับอักเสบบีติดต่อเฉพาะทางเลือดเท่านั้น ทำให้หลายคนละเลยการใช้ถุงยางอนามัย
กลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากเพศสัมพันธ์
ไม่ใช่ทุกคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงเท่ากัน กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่
- ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
- ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน หรือมีคู่นอนที่ไม่ทราบประวัติสุขภาพ
- กลุ่มชายรักชาย (MSM) ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักโดยไม่ป้องกัน
- ผู้ที่มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ อยู่แล้ว ซึ่งทำให้เยื่อบุอวัยวะเพศอักเสบ และติดเชื้อไวรัสได้ง่ายขึ้น
อาการของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
- หลายคนไม่แสดงอาการ ผู้ติดเชื้อจำนวนมาก (โดยเฉพาะเด็กเล็ก) อาจไม่มีอาการใด ๆ เลย ทั้งที่เชื้อยังอยู่ และทำให้ตับอักเสบได้อย่างเงียบ ๆ จนกว่าจะเข้าสู่ระยะเรื้อรังหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนจึงเริ่มมีอาการให้เห็น ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ควรตรวจเลือดแม้รู้สึกแข็งแรงก็ตาม
- อาการระยะเฉียบพลันที่พบบ่อย (ปรากฏหลังรับเชื้อราว 60–150 วัน; เฉลี่ย ~90 วัน) อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง (มักบริเวณชายโครงขวา), ไข้ต่ำ ๆ/ปวดข้อ, ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระซีด, และ ดีซ่าน (ตา/ผิวเหลือง) อาการอาจคงอยู่หลายสัปดาห์ถึงเป็นเดือนแล้วค่อยทุเลาในผู้ใหญ่ส่วนใหญ่
- ไม่มีอาการ ≠ ปลอดภัย แม้ไม่มีอาการ ตับยังถูกทำลายได้อย่างต่อเนื่อง และอาจพัฒนาเป็นตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง หรือมะเร็งตับในระยะยาวได้ จึงควรประเมิน และติดตามด้วยเลือด/คลื่นเสียงความถี่ที่แพทย์เห็นเหมาะสม
ภาวะแทรกซ้อนจากไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง
- ตับอักเสบเรื้อรัง เชื้ออยู่ในร่างกายเกิน 6 เดือน ทำให้เกิดการอักเสบซ้ำ ๆ และรอยพังผืดสะสมในตับ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเสื่อมของการทำงานของตับในระยะยาว
- ตับแข็ง และภาวะแทรกซ้อนของความดันหลอดเลือดพอร์ทัล พังผืดทำให้โครงสร้างตับเปลี่ยน จนเกิดภาวะตับแข็ง เสี่ยงน้ำในท้อง เลือดออกจากเส้นเลือดขอดหลอดอาหาร และภาวะตับวาย เป็นต้น ต้องติดตามใกล้ชิด และดูแลแบบองค์รวม
- มะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma, HCC) HBV เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของมะเร็งตับ แม้ในผู้ที่ไม่มีตับแข็งมาก่อนก็ตาม ชี้ให้เห็นความสำคัญของการคัดกรองสม่ำเสมอในผู้ป่วยเรื้อรัง

การตรวจไวรัสตับอักเสบบี (HBV Testing) – ตรวจอะไร? บอกอะไร?
การวินิจฉัยมักใช้ชุดการตรวจ มากกว่าตัวใดตัวหนึ่งเดี่ยว ๆ และแพทย์จะตีความร่วมกับเอนไซม์ตับ และการตรวจไวรัส (HBV DNA) เพื่อตัดสินใจแผนรักษา/ติดตามผล
- HBsAg (Hepatitis B surface antigen) – ตัวบ่งชี้การติดเชื้อปัจจุบัน พบได้ทั้งในระยะเฉียบพลันและเรื้อรัง หาก HBsAg เป็นบวกเกิน 6 เดือน มักหมายถึงการติดเชื้อเรื้อรัง ต้องติดตามเพิ่มเติม.
- Anti-HBs (Hepatitis B surface antibody) – ภูมิคุ้มกัน ผลบวกบ่งบอกว่าร่างกายมีภูมิ คือติดเชื้อแล้วหายหรือเคยได้รับวัคซีนสำเร็จแล้ว ระดับแอนติบอดีอาจลดลงตามเวลาแต่โดยมากยังมีภูมิจำพร้อมสร้างภูมิได้หากสัมผัสเชื้อ
- Anti-HBc (Core antibody) – รวม/แยกชนิดได้
- IgM anti-HBc: บวกมักแปลว่า ติดเชื้อเฉียบพลันระยะใหม่ (มักตรวจพบช่วงมีอาการ) แต่บางครั้งอาจบวกชั่วคราวในภาวะตับอักเสบกำเริบ ของผู้ป่วยเรื้อรัง จึงต้องติดตามซ้ำหลัง ~6 เดือนเพื่อยืนยัน
- IgG/total anti-HBc: บวกแปลว่า เคยสัมผัสเชื้อ มาก่อน (ปัจจุบันหรืออดีต) ใช้คู่กับ HBsAg/Anti-HBs เพื่อแยกสถานะว่าเป็นเรื้อรัง หายแล้ว หรือยังไวต่อการติดเชื้อ
- HBeAg และ Anti-HBe – ตัวบ่งชี้การแบ่งตัวของไวรัส/การติดต่อสูง HBeAg บวกสัมพันธ์กับระดับ HBV DNA สูง และความสามารถในการแพร่เชื้อที่มากขึ้น ใช้ติดตามระยะของโรค และตอบสนองต่อการรักษา
- HBV DNA (ไวรัลโหลด) – วัดปริมาณไวรัสในเลือด ใช้ยืนยันการแบ่งตัวของไวรัส ประเมินความเสี่ยงโรคตับลุกลาม และติดตามผลการรักษาด้วยยาต้านไวรัส แพทย์จะตีความร่วมกับ ALT/AST และเครื่องหมายอื่น ๆ
- เอนไซม์ตับ (ALT/AST) – บอกระดับการอักเสบของตับ ค่าสูงชี้ว่ามีการอักเสบ/บาดเจ็บของตับ ต้องดูแนวโน้มร่วมกับตัวชี้วัดอื่นเพื่อแยกเฉียบพลัน/เรื้อรัง และวางแผนรักษา
- ชุดตรวจมาตรฐานในการคัดกรอง (Hepatitis B panel) โดยทั่วไปจะประกอบด้วย HBsAg + total anti-HBc + anti-HBs เพื่อบอกสถานะว่าติดเชื้ออยู่/หายแล้วมีภูมิ/มีภูมิจากวัคซีน/ยังไม่มีภูมิ และควรฉีดวัคซีน ทั้งนี้ช่วงหน้าต่าง หลัง HBsAg หายไปแต่ Anti-HBs ยังไม่ขึ้น อาจวินิจฉัยได้จาก IgM anti-HBc ที่ยังบวกอยู่
ข้อควรจำ: การตีความผลเลือดควรทำโดยบุคลากรทางการแพทย์ เพราะรูปแบบผลตรวจอาจซับซ้อน โดยเฉพาะกรณีผลบางตัวบวกลบสลับกัน หรือมีภาวะร่วมอื่น ๆ เช่น การกลายพันธุ์ของไวรัส การติดเชื้อร่วมกับไวรัสตับอักเสบดี (HDV) ฯลฯ
การรักษาไวรัสตับอักเสบบี
เป้าหมายการรักษา
- ลดปริมาณไวรัสในเลือดให้ต่ำที่สุด/ตรวจไม่พบ
- ลดการอักเสบของตับ ชะลอพังผืด ป้องกันตับแข็ง และมะเร็งตับ
- ลดการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น และคนใกล้ชิด
หลักคิดสำคัญ
- การดูแลต่างกันระหว่างเฉียบพลัน กับเรื้อรัง
- ตัดสินใจจากภาพรวม: อาการ, เอนไซม์ตับ (ALT/AST), ปริมาณไวรัส (HBV DNA), สถานะ HBeAg, ระดับพังผืด/ตับแข็ง, อายุ และโรคร่วม
- รักษาต่อเนื่อง และมีวินัย สำคัญเท่าตัวยา
ระยะเฉียบพลัน (ติดเชื้อใหม่)
- ส่วนใหญ่หายได้เองด้วยการพักผ่อน ดื่มน้ำพอ เพียงเฝ้าระวังอาการ และติดตามเลือด
- ข้อยกเว้น: เจ็บหนัก/ภาวะตับวายเฉียบพลัน/อาการยืดเยื้อ แพทย์อาจให้ยาต้านไวรัส และรับไว้ดูแลใกล้ชิด
- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ และยาที่มีผลต่อตับทุกชนิด (เช่น ยาสมุนไพรที่ไม่ทราบส่วนผสม)
ระยะเรื้อรัง (นานเกิน 6 เดือน)
- ยาต้านไวรัสรับประทานกลุ่ม nucleos(t)ide analogues: แนวทางแรก ๆ ที่นิยมเพราะกดไวรัสได้แรง และปลอดภัย เช่น เอนเทคาวิร์ (entecavir), เทโนโฟเวียร์ (tenofovir: TDF/TAF)
- เหมาะกับผู้ที่มีไวรัสสูง/เอนไซม์ตับสูง/พังผืดปานกลาง–มาก/ตับแข็ง/เสี่ยงมะเร็งตับ
- ต้องกินทุกวัน ตามแพทย์สั่ง และติดตามเลือดสม่ำเสมอ
- เพกอินเตอร์เฟอรอน (pegylated interferon): คอร์สระยะเวลาจำกัด เหมาะบางกลุ่ม (เช่น คนอายุน้อย ตับยังแข็งแรง ต้องการคอร์สมีจุดสิ้นสุด) แต่มีผลข้างเคียงมากกว่ายารับประทาน
- ใครที่ต้องรักษาโดยทั่วไป
- มีตับแข็ง (ชดเชย/ไม่ชดเชย) → ให้ยาต้านทันทีไม่ว่าตัวเลขเลือดเป็นอย่างไร
- HBV DNA สูงร่วมกับ ALT สูง/มีหลักฐานอักเสบ-พังผืดมาก
- มีประวัติครอบครัวมะเร็งตับ/ปัจจัยเสี่ยงอื่น แพทย์อาจพิจารณารักษาแม้ค่าเลือดยังปกติ
- ใครที่ยังไม่จำเป็นต้องเริ่มยา
- กลุ่มไวรัสสูงแต่ ALT ปกติ และไม่มีพังผืด (ภาวะที่มักเรียกว่า immunotolerant) → มักเน้นติดตามใกล้ชิด และคุมปัจจัยเสี่ยง
- กรณีพิเศษ
- ตั้งครรภ์: หากคุณแม่มีไวรัสสูงมาก แพทย์มักให้เทโนโฟเวียร์ช่วงไตรมาสท้ายเพื่อป้องกันแพร่เชื้อสู่ลูก เสริมกับวัคซีน+อิมมูโนโกลบูลินในทารกหลังคลอด
- ร่วมติดเชื้อ HIV: ควรใช้สูตรยาต้านที่ครอบคลุม HBV ด้วย (เช่น เทโนโฟเวียร์ร่วมกับเอ็มทริซิทาบีน/ลามิวดีน) และ ห้ามหยุดยา HBV-active ทันทีเอง เพราะเสี่ยงตับอักเสบกำเริบ
- ตับแข็งระยะไม่ชดเชย/ตับวาย: หลีกเลี่ยงอินเตอร์เฟอรอน ใช้ยารับประทาน และเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนอย่างใกล้ชิด
การติดตามระหว่างรักษา
- ALT/AST ทุก 3–6 เดือน (ถี่ขึ้นในปีแรก)
- HBV DNA เป็นระยะเพื่อดูการกดไวรัส
- HBeAg/Anti-HBe ในผู้ที่เคย HBeAg บวก
- ประเมินพังผืดตับ (อัลตราซาวนด์/ไฟโบรสแกน) ตามสมควร
- คัดกรองมะเร็งตับ: อัลตราซาวนด์ (± AFP) ทุก ~6 เดือน ในผู้มีตับแข็ง และ/หรือกลุ่มเสี่ยงสูง (แพทย์จะประเมินให้เหมาะกับแต่ละคน)
การดูแลไลฟ์สไตล์ที่ช่วยรักษาไปด้วย
- งดแอลกอฮอล์เด็ดขาด คุมน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ (ถ้ายังไม่เคยมีภูมิ) ลดความเสี่ยงตับอักเสบซ้อน
- แจ้งแพทย์/เภสัชกรทุกครั้งก่อนใช้ยา-สมุนไพร-อาหารเสริม
การป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจากเพศสัมพันธ์
- ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี เป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด และยาวนาน แนะนำทั้งวัยเด็ก และผู้ใหญ่ที่ไม่เคยฉีด โดยเฉพาะผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง/คู่นอนหลายคน/ทำงานด้านสุขภาพ
- ตารางมาตรฐานผู้ใหญ่ที่ใช้บ่อย: 0–1–6 เดือน (แพทย์อาจเลือกสูตรเร่งด่วนในบางกรณี)
- ภายหลังฉีดครบอาจไม่ต้องกระตุ้นซ้ำในคนสุขภาพดี (ขึ้นกับแนวทางแพทย์)
- ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องทุกครั้ง ทั้งเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทางปาก และทางทวารหนัก ช่วยลดการสัมผัสเลือด/สารคัดหลั่ง แนะนำใช้สารหล่อลื่นสูตรน้ำ/ซิลิโคนเพื่อลดการฉีกขาดของเยื่อบุ
- ตรวจสุขภาพทางเพศสม่ำเสมอ ควรรวมการตรวจ HBV (HBsAg/Anti-HBs/Anti-HBc) เข้าไปด้วย โดยเฉพาะเมื่อมีคู่นอนใหม่/หลายคน หรือมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นร่วม
- เลี่ยงการใช้เข็ม/ของมีคมร่วมกัน รวมถึงการสัก/เจาะ/ทำหัตถการในสถานที่ที่ไม่มีมาตรฐานอุปกรณ์ปลอดเชื้อ
- การป้องกันหลังสัมผัส (PEP) หากมีเพศสัมพันธ์เสี่ยงสูงกับผู้ที่ทราบว่ามีเชื้อหรือไม่ทราบสถานะ ควรรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุดเพื่อพิจารณา วัคซีน ± อิมมูโนโกลบูลิน (HBIG) ตามแนวทาง และช่วงเวลาที่เหมาะสม
- หมายเหตุสำหรับผู้ใช้ PrEP ป้องกัน HIV PrEP สูตรเทโนโฟเวียร์/เอ็มทริซิทาบีนมีฤทธิ์ต่อ HBV แต่ ไม่แทนวัคซีน และการหยุดยาเองในผู้ที่เป็น HBV เรื้อรังเสี่ยงตับอักเสบกำเริบ—ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

ความสำคัญของวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี
- ประสิทธิภาพสูง และความปลอดภัยดี วัคซีนช่วยสร้างภูมิคุ้มกันได้ในคนส่วนใหญ่ และลดการเกิดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในระดับประชากรอย่างชัดเจน ผลข้างเคียงมักเป็นเพียงปวด/บวมเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด
- ใครควรฉีดบ้าง?
- เด็กแรกเกิดทุกราย (เป็นมาตรฐานในหลายประเทศ)
- ผู้ใหญ่ที่ไม่เคยฉีด/ไม่ทราบสถานะภูมิ
- ผู้มีคู่นอนหลายคน/มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สม่ำเสมอในการใช้ถุงยาง
- ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย, ผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีด, คนทำงานบริการทางเพศ
- บุคลากรทางการแพทย์/งานที่สัมผัสเลือดหรือของมีคม
- ผู้ต้องขัง/ผู้ที่อยู่รวมกันในที่แออัด
- ตารางการฉีดโดยรวม สูตรมาตรฐานผู้ใหญ่ที่พบบ่อย: 0–1–6 เดือน (แพทย์อาจใช้สูตรเร่งด่วนหรือวัคซีนชนิดพิเศษในกลุ่มเสี่ยงสูง/ภูมิขึ้นยาก)
หลังครบชุด แพทย์อาจตรวจ Anti-HBs เพื่อยืนยันการมีภูมิในบางกลุ่มเสี่ยง - หลังสัมผัสเชื้อ การฉีดวัคซีนโดยเร็วที่สุด (ร่วมกับ HBIG ในบางกรณี) ช่วยลดโอกาสติดเชื้อได้มาก—ยิ่งเร็ว ยิ่งได้ผล
- ข้อควรทราบ ผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง/ฟอกไต/โรคอ้วนมาก อาจตอบสนองวัคซีนต่ำ ต้องใช้ขนาด/ตารางพิเศษ และตรวจภูมิติดตามตามแพทย์แนะนำ
อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ วิกฤติสุขภาพที่ยังคงถูกมองข้าม
- ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ปลอดภัย และมั่นใจ
เซ็กส์ไม่ปลอดภัย ไม่ได้เสี่ยงแค่เอชไอวีหรือซิฟิลิส แต่ยังรวมถึงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งเป็นโรคที่เงียบ อันตราย และอาจนำไปสู่มะเร็งตับได้ การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การฉีดวัคซีน และการใช้ถุงยางอนามัย ควบคู่กับการตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าการมีเพศสัมพันธ์ของคุณจะปลอดภัย และไม่เสี่ยงต่อโรคร้ายแรง
เอกสารอ้างอิง
- World Health Organization (WHO). Hepatitis B Fact Sheet. ข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อ อันตราย และการป้องกันไวรัสตับอักเสบบี. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/hepatitis-b
- Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Hepatitis B and Sexual Transmission. รายละเอียดเกี่ยวกับการติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์และการป้องกัน. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/hepatitis/hbv
- UNAIDS. Viral Hepatitis and HIV Coinfection. ข้อมูลการติดเชื้อร่วมและความเสี่ยงจากพฤติกรรมทางเพศ. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.unaids.org/en/topics/viral-hepatitis
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ข้อมูลไวรัสตับอักเสบบี การติดต่อและการป้องกันในประเทศไทย. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th
- มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ (AIDS Access Foundation). สื่อสารความรู้เรื่องไวรัสตับอักเสบบีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.aidsaccessfoundation.or.th
