ตรวจโรคซิฟิลิสเมื่อไรดี? คำตอบสำหรับคนที่มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน
ในยุคที่ผู้คนเริ่มเปิดกว้างต่อเรื่องเพศ และสุขภาพทางเพศมากขึ้น การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กลายเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรถูกมองข้าม โดยเฉพาะกับโรคซิฟิลิส โรคติดต่อที่มีแนวโน้มกลับมาแพร่ระบาดในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย
คำถามสำคัญที่หลายคนอาจสงสัย คือ ถ้าเคยมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ต้องตรวจซิฟิลิสเมื่อไร? คำตอบนี้ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อความสบายใจ แต่เพื่อสุขภาพระยะยาวของคุณ และเพื่อไม่แพร่เชื้อต่อให้กับผู้อื่น

โรคซิฟิลิส คืออะไร?
โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Treponema pallidum โรคนี้สามารถแพร่ได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก โดยไม่จำเป็นต้องมีการหลั่งน้ำอสุจิก็สามารถติดเชื้อได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษา ซิฟิลิสสามารถลุกลามเข้าสู่ระบบประสาท สมอง และหัวใจได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงหรือเสียชีวิตในระยะยาว
โรคซิฟิลิสติดต่อได้อย่างไร?
- มีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
- การสัมผัสกับแผลหรือผื่นของผู้ติดเชื้อ แม้จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
- การมีเซ็กส์ทางปากหรือทวารหนัก
- การใช้ของเล่นทางเพศร่วมกันโดยไม่ทำความสะอาด
- ในบางกรณี อาจเกิดการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกระหว่างตั้งครรภ์ (Congenital syphilis)
อาการโรคซิฟิลิส
โรคซิฟิลิสเป็นโรคที่อาจไม่มีอาการเลยในช่วงแรก หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย ทำให้หลายคนไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อ จนกว่าจะแพร่ไปยังระยะที่รุนแรงกว่า
อาการแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่
- ระยะที่ 1 (Primary)
- แผลริมแข็ง ไม่เจ็บ มักเกิดที่อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือปาก
- หายได้เองใน 2–6 สัปดาห์ แม้ไม่รักษา
- ระยะที่ 2 (Secondary)
- ผื่นขึ้นตามลำตัว ฝ่ามือ ฝ่าเท้า
- มีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ ต่อมน้ำเหลืองโต
- อาการหายได้เองอีกครั้ง
- ระยะแฝง (Latent)
- ไม่มีอาการ แต่เชื้อยังอยู่ในร่างกาย
- สามารถตรวจพบได้จากการตรวจเลือด
- ระยะที่ 3 (Tertiary)
- เกิดความเสียหายกับอวัยวะภายใน เช่น สมอง หัวใจ หลอดเลือด กระดูก
- อาจถึงแก่ชีวิตหากไม่รักษา
ควรตรวจโรคซิฟิลิสเมื่อไรดี?
คำถามนี้ไม่มีคำตอบเดียวที่ใช้ได้กับทุกคน แต่สามารถสรุปได้ตามลักษณะพฤติกรรม และความเสี่ยง
- ควรตรวจทันทีถ้ามีพฤติกรรมเสี่ยง ดังนี้
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางกับคนที่คุณไม่แน่ใจสถานะสุขภาพ
- พบว่าคู่นอนของคุณติดซิฟิลิสหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น
- มีอาการน่าสงสัย เช่น แผลริมแข็ง ผื่นขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
- เคยมีเพศสัมพันธ์ทางปากหรือทวารหนักแบบไม่ป้องกัน
- เคยใช้ยาเสพติดแบบฉีด หรือมีประวัติ Chemsex
- ตั้งครรภ์ หรือวางแผนจะตั้งครรภ์
- ช่วงเวลาที่ควรตรวจหลังความเสี่ยง
- ตรวจได้เร็วสุด หลังความเสี่ยง 3 สัปดาห์
- แต่ผลจะเชื่อถือได้ที่สุดที่ 4–6 สัปดาห์
- หากผลเป็นลบ แนะนำให้ตรวจซ้ำอีกครั้งที่ 3 เดือน เพื่อความมั่นใจ
การตรวจโรคซิฟิลิส
การตรวจไม่จำเป็นต้องอดอาหาร ไม่เจ็บมาก และสามารถเข้ารับบริการได้ที่สถานพยาบาลหรือคลินิกสุขภาพทางเพศที่ให้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในหลายพื้นที่
- การตรวจคัดกรอง (Screening Tests) เป็นการตรวจเบื้องต้นเพื่อดูว่า ร่างกายสร้างแอนติบอดีเพื่อตอบสนองต่อเชื้อ Treponema pallidum (เชื้อซิฟิลิส) หรือไม่ ได้แก่
- VDRL (Venereal Disease Research Laboratory)
- RPR (Rapid Plasma Reagin)
- เป็นการตรวจหาแอนติบอดีในเลือด
- ใช้สำหรับคัดกรองผู้ที่อาจติดเชื้อ
- สามารถใช้ติดตามผลหลังรักษาว่าการรักษาได้ผลหรือไม่ (ดูจากระดับแอนติบอดีที่ลดลง)
- ข้อดี ราคาถูก ตรวจได้ง่าย หมาะสำหรับการคัดกรองจำนวนมาก
- ข้อจำกัด อาจให้ผลบวกลวง (false positive) ในบางโรค เช่น โรคภูมิแพ้ โรคติดเชื้ออื่น หรือหญิงตั้งครรภ์
- การตรวจยืนยันการติดเชื้อ (Confirmatory Tests) เมื่อผลจาก VDRL หรือ RPR เป็นบวก จะต้องตรวจซ้ำด้วยการตรวจยืนยัน
- TPHA (Treponema pallidum Hemagglutination Assay)
- FTA-ABS (Fluorescent Treponemal Antibody Absorption)
- เป็นการตรวจหาแอนติบอดี ชนิดเฉพาะที่ตอบสนองต่อเชื้อซิฟิลิสโดยตรง
- มีความแม่นยำสูงกว่าการตรวจคัดกรอง
- ใช้ยืนยันว่าเคยติดเชื้อซิฟิลิสจริงหรือไม่
- ข้อดี ให้ผลที่แม่นยำกว่า ไม่ค่อยเกิดผลบวกลวง
- ข้อจำกัด หากเคยติดเชื้อแล้ว แม้รักษาหายแล้ว ผลอาจยัง “บวก” ไปตลอดชีวิต (ไม่เหมาะกับติดตามผลการรักษา)
- Rapid Test ตรวจเร็ว รู้ผลไว
- ตรวจจากเลือดปลายนิ้ว
- ทราบผลได้ภายใน 15–30 นาที
- นิยมใช้ในหน่วยงานภาคสนาม คลินิกเฉพาะกิจ หรือบริการป้องกันโรคทางเพศสัมพันธ์
บางชุดทดสอบสามารถตรวจหาโรคติดต่อทางเพศอื่นร่วมด้วย เช่น เอชไอวี หรือไวรัสตับอักเสบ B/C
ตรวจโรคซิฟิลิสที่ไหนได้บ้าง?
- คลินิกเวชกรรมที่มีบริการด้านสุขภาพทางเพศ
- คลินิกนิรนาม สภากาชาดไทย
- ศูนย์บริการสาธารณสุขในโรงพยาบาลของรัฐ
- แพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Love2Test.org ที่ให้บริการจองคิวตรวจฟรี และเป็นความลับ
การรักษาโรคซิฟิลิส
โรคซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากตรวจพบแต่เนิ่น ๆ และได้รับการรักษาที่ถูกต้อง โดยตัวยาหลักที่ใช้ในการรักษาคือ ยาเพนิซิลลิน (Penicillin G Benzathine) ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะชนิดฉีดที่ได้ผลดีที่สุด
- แนวทางการรักษาตามระยะของโรค
- ระยะที่ 1 และ 2 รักษาด้วยการฉีด Benzathine Penicillin G ขนาด 2.4 ล้านหน่วย เข้ากล้ามเนื้อ จำนวน 1 เข็ม
- ระยะแฝงระยะต้น (Early Latent) ใช้ขนาดเท่ากับระยะที่ 1–2 คือ 1 เข็ม
- ระยะแฝงระยะสาย (Late Latent) หรือไม่ทราบระยะเวลา ต้องฉีด 3 เข็ม โดยแบ่งเป็นสัปดาห์ละ 1 เข็ม ติดต่อกัน 3 สัปดาห์
- ซิฟิลิสที่ลุกลามเข้าสู่ระบบประสาท (Neurosyphilis) ต้องรับการรักษาแบบเข้มข้น เช่น การฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำในโรงพยาบาลต่อเนื่องหลายวัน
- สำหรับผู้ที่แพ้เพนิซิลลิน
- อาจรักษาด้วยยาปฏิชีวนะทางเลือก เช่น Doxycycline หรือ Ceftriaxone แต่ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ และพิจารณาให้เหมาะสมกับระยะของโรค
- อาจรักษาด้วยยาปฏิชีวนะทางเลือก เช่น Doxycycline หรือ Ceftriaxone แต่ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ และพิจารณาให้เหมาะสมกับระยะของโรค
- การติดตามผลหลังการรักษา
- แพทย์จะนัดตรวจเลือดซ้ำทุก 3–6 เดือน เพื่อดูระดับแอนติบอดี (VDRL หรือ RPR) ว่าลดลงหรือไม่
- หากค่าผลเลือดยังสูงอยู่ แพทย์อาจพิจารณาฉีดยาซ้ำ หรือตรวจเพิ่มเติมว่ามีการติดเชื้อซ้ำหรือไม่
- ข้อควรปฏิบัติระหว่างการรักษา
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าแพทย์จะยืนยันว่าหายดีแล้ว
- ชวนคู่นอนปัจจุบันหรือในช่วง 3 เดือน–1 ปี (ขึ้นอยู่กับระยะของโรค) มาตรวจ และรักษาพร้อมกัน
- ป้องกันการติดเชื้อซ้ำด้วยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง และตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอ
ป้องกันโรคซิฟิลิสอย่างไร?
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคนโดยไม่มีการตรวจร่วมกัน
- หมั่นตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ
- ใช้ของเล่นทางเพศเฉพาะส่วนตัว หรือทำความสะอาดอย่างถูกต้องก่อนแชร์
- ไม่ใช้ยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์เกินขนาดที่ทำให้ขาดสติ
อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ วิกฤติสุขภาพที่ยังคงถูกมองข้าม
- ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ปลอดภัย และมั่นใจ
หากคุณเคยมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน แม้จะไม่มีอาการใด ๆ การ ตรวจโรคซิฟิลิสเป็นสิ่งจำเป็น และควรทำภายใน 3–6 สัปดาห์หลังความเสี่ยง เพื่อป้องกันการลุกลาม และการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น อย่ารอให้อาการเกิดก่อนถึงจะตรวจ เพราะซิฟิลิสสามารถไม่มีอาการได้หลายเดือน แต่ยังแพร่เชื้อได้ตลอดเวลา
ตรวจง่าย รู้เร็ว รักษาได้หาย — สุขภาพทางเพศที่ดีเริ่มต้นจากการรู้จักตัวเอง
เอกสารอ้างอิง
- Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Syphilis – STI Treatment Guidelines. Detailed recommendations on syphilis diagnosis and treatment. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/std/treatment-guidelines/syphilis.htm
- World Health Organization (WHO). Guidelines for the treatment of Treponema pallidum (syphilis). Global recommendations for the clinical management of syphilis. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/publications/i/item/9789241549714
- กระทรวงสาธารณสุขแห่งประเทศไทย. เว็บไซต์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ข้อมูลเกี่ยวกับโรคซิฟิลิส แนวทางการตรวจวินิจฉัยและการรักษา. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th/disease_detail.php?d=94
- สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์: ซิฟิลิส ป้องกันได้ รักษาได้. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.thaihealth.or.th
- Verywell Health. Is Syphilis Curable? Learn About Treatment Options and Prevention. Comprehensive overview of syphilis treatment and prevention. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.verywellhealth.com/is-syphilis-curable-8684932