ช่วงเวลาที่ต้องรู้! Window Period คืออะไร และทำไมต้องตรวจซ้ำ?
|

ช่วงเวลาที่ต้องรู้! Window Period คืออะไร และทำไมต้องตรวจซ้ำ?

Window Period เป็นช่วงเวลาระหว่าง การได้รับเชื้อ จนถึงเวลาที่ร่างกายสามารถสร้างแอนติบอดีหรือสารพันธุกรรมของเชื้อในระดับที่ตรวจพบได้ในการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจหาเชื้อเอชไอวี (HIV) หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) อื่น ๆ หากตรวจเร็วเกินไปในช่วง Window Period อาจทำให้ได้ ผลลบลวง (False Negative) แม้ว่าเชื้อจะมีอยู่ในร่างกายแล้ว แต่การตรวจยังไม่สามารถตรวจพบได้ ซึ่งอาจทำให้ผู้รับการตรวจเข้าใจผิดว่าตนเองปลอดภัย ดังนั้น “การตรวจซ้ำ” ในช่วงเวลาที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญมาก เพื่อให้แน่ใจว่าผลตรวจเป็นจริง และแม่นยำที่สุด

ช่วงเวลาที่ต้องรู้! Window Period คืออะไร และทำไมต้องตรวจซ้ำ?

Window Period คืออะไร?

Window Period หรือ ระยะฟักตัวของเชื้อ เป็นระยะเวลาหลังจากที่บุคคลได้รับเชื้อ แต่ร่างกายยังไม่ได้สร้างแอนติบอดี (Antibody) หรือปริมาณเชื้อยังไม่สูงพอที่จะตรวจพบด้วยวิธีการตรวจบางประเภท

ตัวอย่างระยะฟักตัวของเชื้อของโรคที่พบบ่อย

รค / การติดเชื้อWindow Period โดยประมาณ
HIV (เอชไอวี)10-90 วัน (ขึ้นอยู่กับประเภทการตรวจ)
ซิฟิลิส (Syphilis)3-6 สัปดาห์
หนองในแท้ (Gonorrhea)2-7 วัน
หนองในเทียม (Chlamydia)1-3 สัปดาห์
ไวรัสตับอักเสบบี (HBV)6 สัปดาห์ – 6 เดือน
ไวรัสตับอักเสบซี (HCV)2 สัปดาห์ – 6 เดือน

หมายเหตุ : ระยะระยะฟักตัวของเชื้อ อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบุคคล และวิธีตรวจ

ทำไม Window Period จึงสำคัญ?

Window Period หรือ ระยะฟักตัวของเชื้อ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะเอชไอวี เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายยังไม่ได้สร้างแอนติบอดีหรือมีปริมาณเชื้อไวรัสที่ยังไม่มากพอที่จะถูกตรวจพบด้วยเครื่องมือทางการแพทย์

การเข้าใจระยะฟักตัวของเชื้อเป็นสิ่งสำคัญเพราะ

  • ป้องกันความเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลตรวจ
    • หากคุณตรวจเร็วเกินไป อาจได้รับ ผลลบลวง (False Negative) ซึ่งหมายความว่าคุณอาจมีเชื้อในร่างกายแล้ว แต่การตรวจยังไม่สามารถจับเชื้อได้
    • ผู้ที่ได้รับผลลบลวงอาจเข้าใจผิดว่าตนเองปลอดภัย และอาจละเลยมาตรการป้องกัน ทำให้มีโอกาสแพร่เชื้อให้กับคู่นอนได้
  • ช่วยกำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการตรวจหาเชื้อ
    • เนื่องจากเชื้อแต่ละชนิดมี ระยะฟักตัวของเชื้อที่แตกต่างกัน การเลือกเวลาตรวจให้เหมาะสมจะช่วยให้ผลตรวจมีความแม่นยำมากขึ้น
    • ตัวอย่างเช่น การตรวจเอชไอวีด้วยวิธี Rapid Test อาจต้องรอ 3 เดือน (90 วัน) หลังจากสัมผัสความเสี่ยงเพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำที่สุด
  • ลดโอกาสในการแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว
    • แม้ว่าผลตรวจจะเป็นลบในช่วงระยะฟักตัวของเชื้อ แต่เชื้ออาจมีอยู่ในร่างกาย และสามารถแพร่ไปสู่คู่นอนได้
    • การใช้มาตรการป้องกัน เช่น ถุงยางอนามัย, PrEP หรือ PEP เป็นสิ่งจำเป็นในระหว่างรอผลตรวจที่แน่นอน
  • ช่วยให้สามารถเริ่มการรักษาได้อย่างรวดเร็ว
    • สำหรับบางโรค เช่น เอชไอวี การรักษาด้วย ยาต้านไวรัส (ART – Antiretroviral Therapy) อย่างรวดเร็วจะช่วยลดปริมาณไวรัสในร่างกาย และลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ
    • สำหรับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น ซิฟิลิส หรือหนองใน การวินิจฉัยเร็ว และได้รับยาปฏิชีวนะเร็วจะช่วยป้องกันโรคแทรกซ้อนได้

ระยะฟักตัวของเชื้อกับการตรวจเอชไอวี

การตรวจหาเอชไอวีมีหลายประเภท แต่ละแบบมีระยะฟักตัวของเชื้อที่แตกต่างกัน

วิธีการตรวจหาเชื้อเอชไอวีระยะ Window Period โดยประมาณความแม่นยำของผลตรวจ
ตรวจแอนติบอดี (Antibody Test – Rapid Test / ELISA)21-90 วัน (3-12 สัปดาห์)แม่นยำสูงหลัง 12 สัปดาห์
ตรวจแอนติเจน + แอนติบอดี (Antigen/Antibody Test – 4th Gen.)18-45 วันแม่นยำสูงหลัง 45 วัน
ตรวจหา RNA ของไวรัส (HIV RNA PCR Test)10-14 วันแม่นยำที่สุดในระยะแรก

ถ้าตรวจเร็วไป ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก อาจได้ผลลบลวง ดังนั้นจึงแนะนำให้ตรวจซ้ำหลัง 3 เดือน (90 วัน) เพื่อยืนยันผลที่แน่นอน

ทำไมต้องตรวจหาเชื้อเอชไอวีซ้ำหลังจากช่วงระยะฟักตัวของเชื้อ

  • หากคุณได้รับผล เป็นลบ (Negative) ในช่วงต้นของระยะฟักตัวของเชื้อ อาจยังไม่สามารถวางใจได้ 100% ว่าไม่มีเชื้อ
  • การตรวจซ้ำอีกครั้ง หลังจาก 3 เดือน จะช่วยให้มั่นใจว่าผลตรวจมีความแม่นยำสูงสุด
  • หากได้รับผลบวก (Positive) ควรพบแพทย์ทันทีเพื่อเริ่มการรักษาด้วย ยาต้านไวรัส (ART) ซึ่งจะช่วยลดปริมาณไวรัสจนถึงระดับตรวจไม่พบ (Undetectable) และไม่สามารถแพร่เชื้อผ่านทางเพศสัมพันธ์ได้ (U=U)
แนวทางการตรวจหาเชื้อเอชไอวี _ เมื่อไหร่ควรตรวจและตรวจซ้ำ

แนวทางการตรวจหาเชื้อเอชไอวี: เมื่อไหร่ควรตรวจและตรวจซ้ำ?

สถานการณ์เสี่ยงควรตรวจเมื่อไหร่?ควรตรวจซ้ำเมื่อไหร่?
มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน4 สัปดาห์ (Antigen/Antibody Test)ตรวจซ้ำที่ 3 เดือน
ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน2-4 สัปดาห์ (RNA PCR Test)ตรวจซ้ำที่ 3 เดือน
ได้รับเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือด1-2 เดือนตรวจซ้ำที่ 3 เดือน
ได้รับผลตรวจหาเชื้อเอชไอวี เป็นลบ แต่ยังอยู่ใน Window Period4-6 สัปดาห์หลังความเสี่ยงตรวจซ้ำที่ 3 เดือน
มีอาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ตรวจทันทีตรวจซ้ำอีกครั้งหลังการรักษา

หมายเหตุ

  • หากคุณมีความเสี่ยงสูง เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันกับคู่นอนที่มีเชื้อเอชไอวี ควรพิจารณาใช้ PEP ภายใน 72 ชั่วโมงหลังสัมผัสเชื้อ
  • หากคุณมีความเสี่ยงต่อเนื่อง แนะนำให้ใช้ PrEP เป็นการป้องกันระยะยาว
  • ถ้าตรวจเร็วไปในช่วงระยะฟักตัวของเชื้อ ควรตรวจซ้ำตามคำแนะนำของแพทย์
  • หากมีพฤติกรรมเสี่ยงซ้ำ ควรตรวจอย่าง สม่ำเสมอทุก 3-6 เดือน

การป้องกันในระหว่างช่วงระยะฟักตัวของเชื้อ

เนื่องจากในช่วงระยะฟักตัวของเชื้อ เชื้ออาจอยู่ในร่างกายของคุณโดยที่การตรวจยังไม่สามารถตรวจพบได้ การป้องกันตัวเอง และผู้อื่นในช่วงเวลานี้เป็นสิ่งสำคัญ

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ถุงยางอนามัยเป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันทั้ง เอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น หนองในแท้ ซิฟิลิส และหนองในเทียม และควรใช้สารหล่อลื่นสูตรน้ำ (Water-based lubricant) ร่วมกับถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการฉีกขาด
  • พิจารณาใช้ยาเพร็พ (PrEP) หากคุณมีความเสี่ยงต่อเนื่อง เพราะยาเพร็พเป็นยาต้านไวรัสที่สามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ได้ มากกว่า 99% หากรับประทานอย่างสม่ำเสมอ เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ชายรักชาย (MSM), หญิงข้ามเพศ (Trans Women), หรือผู้ที่มีคู่นอนติดเชื้อเอชไอวี
  • ใช้ยาเป๊ป (PEP) หากได้รับความเสี่ยงสูง เพราะยาเป๊ปเป็นยาต้านไวรัสที่ใช้ในกรณีฉุกเฉิน หลังจากได้รับความเสี่ยง ภายใน 72 ชั่วโมง และควรใช้ ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ และต้องรับประทานต่อเนื่อง 28 วัน เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
  • หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หากคุณใช้สารเสพติดทางหลอดเลือด ควรใช้ เข็มฉีดยาแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง เพราะการใช้เข็มร่วมกันเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการแพร่เชื้อเอชไอวี และไวรัสตับอักเสบ
  • ตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ หากคุณมีพฤติกรรมเสี่ยง แนะนำให้ตรวจหาเชื้อเอชไอวี และ STIs ทุก 3-6 เดือน เพราะการตรวจเป็นประจำช่วยให้สามารถ วินิจฉัย และรักษาโรคได้เร็ว ป้องกันการแพร่เชื้อไปยังคู่นอน

อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม

ระยะฟักตัวของเชื้อ (Window Period) เป็นช่วงเวลาที่เชื้อไวรัส หรือแบคทีเรียยังไม่สามารถตรวจพบได้หลังจากได้รับเชื้อ การตรวจเร็วเกินไป อาจทำให้ได้ ผลลบลวง ฉะนั้นการตรวจซ้ำในเวลาที่เหมาะสม ช่วยให้มั่นใจในผลตรวจที่แม่นยำ เพื่อเป็นการป้องกันตนเอง และผู้อื่น ควรใช้ถุงยางอนามัย และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงในระหว่างรอผลตรวจที่แน่นอน แต่หากคุณมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวี หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรเข้ารับคำปรึกษาทางการแพทย์เพื่อรับแนวทางการป้องกันที่เหมาะสม โดยติดต่อคลินิกสุขภาพใกล้บ้าน หรือองค์กรด้านสุขภาพทางเพศ หรือตรวจ หาเชื้อเอชไอวีฟรี? ได้ที่ Love2Test.org 

เอกสารอ้างอิง

  • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (2023). HIV Testing: Understanding Window Periods Retrieved from: https://www.cdc.gov/hiv/basics/testing.html
  • AIDSinfo | HIV.gov. (2021). HIV Window Period and Why It Matters
    Retrieved from: https://www.hiv.gov/hiv-basics/testing/overview-of-hiv-tests/understanding-hiv-window-period
  • World Health Organization (WHO). (2021). Consolidated guidelines on HIV prevention, testing, treatment, service delivery and monitoring Retrieved from: https://www.who.int/publications/i/item/9789240031593
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2565). HIV Window Period ช่วงเวลาที่การตรวจเลือดยังอาจไม่พบเชื้อ เข้าถึงไดจาก: https://ddc.moph.go.th/news/news_detail.php?news=24794
  • สมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย. (2566). แนวทางการตรวจวินิจฉัยและการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี เข้าถึงได้จาก: http://www.thaiaidssociety.org/images/PDF/hiv-guideline-2023.pdf

Similar Posts