โรคหนองในอันตรายไหม? ตอบทุกคำถามที่คุณกังวล

โรคหนองในอันตรายไหม? ตอบทุกคำถามที่คุณกังวล

ในยุคที่โลกเปิดกว้างเรื่องเพศมากขึ้น การพูดถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไม่ควรเป็นเรื่องต้องหลบซ่อนอีกต่อไป หนึ่งในโรคที่ถูกพูดถึงน้อย แต่กำลังกลับมาอย่างน่ากังวลในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ก็คือ โรคหนองใน ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากแบคทีเรีย และสามารถแพร่เชื้อได้ง่ายโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น และผู้มีพฤติกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงสูง

คำถามที่หลายคนสงสัยคือ หนองในอันตรายไหม? ถ้าติดแล้วจะรักษาหายไหม? หรือ หนองในต้องตรวจยังไง เจ็บไหม? ฉะนั้นการเจาะลึกทุกแง่มุมของโรคหนองใน ตั้งแต่การติดเชื้อ อาการ การรักษา ไปจนถึงผลกระทบระยะยาว และแนวทางป้องกัน เพื่อให้เข้าใจโรคนี้อย่างถูกต้อง และสามารถดูแลสุขภาพทางเพศของตนเองได้อย่างมั่นใจ

โรคหนองในอันตรายไหม? ตอบทุกคำถามที่คุณกังวล

โรคหนองใน คืออะไร?

โรคหนองใน (Gonorrhea) คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Neisseria gonorrhoeae โดยแบคทีเรียชนิดนี้จะเข้าทำลายเยื่อบุของอวัยวะต่าง ๆ เช่น อวัยวะเพศ ช่องคลอด ทวารหนัก ลำคอ และดวงตา ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เชื้อสามารถเจริญเติบโตได้ดี

โรคหนองในจัดเป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่เก่าแก่ที่สุด และยังพบได้บ่อยจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากสามารถติดต่อได้ง่ายมากผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือแม้กระทั่งการทำออรัลเซ็กส์ หากผู้ติดเชื้อไม่มีอาการก็ยังสามารถแพร่เชื้อได้โดยไม่รู้ตัว

แม้โรคหนองในจะสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ หากได้รับการวินิจฉัยเร็ว และใช้ยาที่ถูกต้อง แต่ปัญหาคือมีผู้ติดเชื้อจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้ตัวว่าติด และละเลยการตรวจหรือการรักษา ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น มีบุตรยาก ติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน หรือภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดที่ถึงขั้นเสียชีวิตได้

การรู้เท่าทันโรคหนองในจึงไม่ใช่แค่การป้องกันตนเอง แต่ยังเป็นการหยุดยั้งการแพร่กระจายของโรคในระดับสังคมอีกด้วย

โรคหนองในอันตรายไหม? 

หลายคนอาจมองว่า โรคหนองใน เป็นแค่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่รักษาง่าย และไม่มีผลร้ายแรงในระยะยาว จึงมักละเลยที่จะตรวจหาหรือเข้ารับการรักษาอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม ความจริงที่น่ากังวลคือ หนองในเป็นโรคที่อาจดูเหมือนไม่มีพิษภัยในช่วงแรก แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันเวลา โรคนี้สามารถลุกลามจนเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงต่อร่างกายได้

หนึ่งในอันตรายสำคัญของโรคหนองใน คือ ภาวะมีบุตรยาก โดยเฉพาะในผู้หญิง หากเชื้อหนองในลุกลามขึ้นไปยังมดลูก และท่อนำไข่ อาจทำให้เกิดการอักเสบของอุ้งเชิงกราน (Pelvic Inflammatory Disease – PID) ซึ่งเป็นภาวะที่ทำลายโครงสร้างของระบบสืบพันธุ์ และอาจทำให้เกิดภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูก หรือมีบุตรยากถาวร

ในผู้ชาย หนองในที่ไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิด อัณฑะอักเสบ และมีผลกระทบต่อจำนวน และคุณภาพของอสุจิ ส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์เช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ เชื้อหนองในยังสามารถลุกลามเข้าสู่กระแสเลือด จนก่อให้เกิดภาวะ ติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) หรือโรคข้ออักเสบจากหนองใน (Disseminated Gonococcal Infection – DGI) ซึ่งแม้พบได้น้อย แต่สามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

อีกหนึ่งประเด็นที่ควรตระหนัก คือ การติดเชื้อหนองใน เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ได้มากขึ้นหลายเท่า เนื่องจากการอักเสบจากเชื้อหนองในทำให้เยื่อบุผิวหนัง และเยื่อบุอวัยวะเพศบางลง เป็นจุดเปิดสำหรับเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ไม่ใช้ถุงยาง หรือมีคู่นอนหลายคน

ทำไมถึงติดโรคหนองในได้ง่าย มีดังนี้

  • โรคนี้ติดต่อได้ง่ายมาก แม้ไม่มีการสอดใส่
  • ผู้ติดเชื้อจำนวนมากไม่มีอาการ ทำให้ไม่รู้ตัวว่ากำลังแพร่เชื้อโรค
  • การปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรง
  • เชื้อดื้อยากำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลก ทำให้การรักษายากขึ้นหากปล่อยให้เชื้อดื้อ

ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะมีอาการหรือไม่ หากมีพฤติกรรมเสี่ยง ก็ควรเข้ารับการตรวจหาเชื้อหนองใน และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ เพราะโรคนี้ อันตรายกว่าที่คิด และ ป้องกันได้ง่ายกว่าที่หลายคนทำ

โรคหนองในติดต่อทางไหนได้บ้าง?

โรคหนองในสามารถติดต่อได้หลายช่องทาง ไม่ใช่แค่การสอดใส่เท่านั้น

  • ทางเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่ โดยไม่ใช้ถุงยาง (ช่องคลอด ทวารหนัก)
  • ออรัลเซ็กส์ โดยเฉพาะหากมีแผลในปาก หรือช่องคอ
  • การใช้อุปกรณ์ทางเพศร่วมกันโดยไม่ทำความสะอาด
  • การคลอดทางช่องคลอดจากแม่สู่ลูก (ทำให้เด็กติดเชื้อที่ดวงตา)

การจูบ หรือการใช้ของร่วมกันโดยไม่มีแผลเปิด มักไม่ใช่สาเหตุของการติดเชื้อหนองใน

โรคหนองใน มีอาการอย่างไร

โรคหนองในมีอาการอย่างไร?

อาการของโรคหนองในจะแตกต่างกันระหว่างเพศชาย และหญิง รวมถึงอาจไม่มีอาการใดๆ เลยในบางราย โดยทั่วไปจะปรากฏภายใน 2–7 วันหลังได้รับเชื้อ

เชื้อหนองในมักฟักตัวในร่างกายประมาณ 2–7 วันหลังได้รับเชื้อ โดยอาการอาจเริ่มแสดงออกภายในช่วงเวลานี้ บางรายอาจไม่มีอาการจนกว่าจะผ่านไป 2 สัปดาห์ หรือไม่แสดงอาการเลยแต่ยังสามารถแพร่เชื้อได้

  • อาการในผู้ชาย
    • ปัสสาวะแสบ ขัด
    • มีหนองไหลออกจากปลายองคชาต (สีเหลือง เขียว หรือขาว)
    • อัณฑะบวม เจ็บ
    • เจ็บหรือมีเลือดขณะหลั่ง
  • อาการในผู้หญิง
    • ตกขาวผิดปกติ มีกลิ่นเหม็น
    • ปัสสาวะแสบ ขัด
    • ปวดท้องน้อย
    • มีเลือดออกระหว่างรอบเดือน หรือหลังมีเพศสัมพันธ์
  • อาการอื่นๆ
    • เจ็บคอ มีหนองหรือคราบขาวบริเวณต่อมทอนซิล (ในกรณีติดเชื้อในคอ)
    • เจ็บรูทวาร มีมูกไหล (กรณีติดเชื้อทางทวารหนัก)

การวินิจฉัยโรคหนองใน

การวินิจฉัยโรคหนองในมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากหลายคนอาจไม่มีอาการหรือมีอาการคล้ายกับโรคอื่น เช่น หนองในเทียม หรือการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะทั่วไป การวินิจฉัยอย่างถูกต้อง และแม่นยำจึงเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาให้หาย และป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไปยังผู้อื่น

วิธีการตรวจโรคหนองในที่ใช้กันในทางการแพทย์

  • การตรวจปัสสาวะ (Urine Test) เหมาะสำหรับการตรวจในผู้ชาย และผู้หญิงที่ไม่สะดวกให้แพทย์ตรวจภายใน โดยผู้ป่วยจะเก็บปัสสาวะแรกของวัน (first void urine) ลงในภาชนะที่สะอาด และนำไปตรวจหาดีเอ็นเอของเชื้อ Neisseria gonorrhoeae ด้วยเทคนิคทางห้องปฏิบัติการ
    • ข้อดี: ไม่เจ็บตัว เก็บตัวอย่างเองได้
    • ข้อจำกัด: อาจไม่แม่นยำเท่าการตรวจด้วยการป้ายสารคัดหลั่ง โดยเฉพาะหากเชื้ออยู่ในตำแหน่งอื่น เช่น ทวารหนักหรือคอ
  • การป้ายสารคัดหลั่ง (Swab Test) เป็นวิธีที่แพทย์ใช้ป้ายสารคัดหลั่งจากตำแหน่งที่สงสัยว่าจะติดเชื้อ เช่น
    • ปากมดลูกหรือช่องคลอด (ในผู้หญิง)
    • ท่อปัสสาวะ (ในผู้ชาย)
    • ทวารหนัก (กรณีมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก)
    • คอ หรือต่อมทอนซิล (หากสงสัยว่าติดจากออรัลเซ็กส์)
    • ดวงตา (ในกรณีมีอาการตาแดงจากการติดเชื้อในทารกแรกเกิด)
    • สารคัดหลั่งที่ได้จะถูกนำไปตรวจด้วยวิธี NAAT หรือเพาะเชื้อ
  • การตรวจ NAAT (Nucleic Acid Amplification Test) NAAT เป็นเทคโนโลยีทางห้องปฏิบัติการที่สามารถตรวจหา DNA ของเชื้อหนองในได้อย่างแม่นยำ แม้จะมีเชื้อเพียงเล็กน้อย โดยวิธีนี้สามารถใช้กับตัวอย่างปัสสาวะหรือสารคัดหลั่งจากหลายตำแหน่งได้ และสามารถตรวจหาเชื้อหนองใน และหนองในเทียม (Chlamydia trachomatis) ได้พร้อมกัน
    • ข้อดี
      • ความไว และความจำเพาะสูงมาก (มากกว่า 95%)
      • ตรวจได้หลายตำแหน่งพร้อมกัน
      • ไม่จำเป็นต้องใช้เชื้อที่มีชีวิตเหมือนการเพาะเชื้อ
    • ข้อจำกัด
      • ค่าใช้จ่ายสูงกว่าวิธีอื่น
      • บางแห่งยังไม่มีบริการแบบ NAAT โดยเฉพาะในคลินิกขนาดเล็ก
  • การเพาะเชื้อ (Culture Test) การนำตัวอย่างสารคัดหลั่งไปเพาะในสื่ออาหารเฉพาะ เพื่อดูว่าเชื้อ N. gonorrhoeae เจริญเติบโตหรือไม่ วิธีนี้แม้จะใช้เวลานานกว่า NAAT แต่มีประโยชน์ในการตรวจดูว่าเชื้อดื้อต่อยาปฏิชีวนะหรือไม่ ซึ่งสำคัญมากในกรณีสงสัยเชื้อดื้อยา

ทำไมการตรวจหนองในถึงสำคัญ?

  • ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ
  • การวินิจฉัยเร็วช่วยลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน
  • ป้องกันการแพร่เชื้อให้คู่นอนหรือบุคคลอื่น
  • ตรวจพร้อมโรคติดต่ออื่นในกลุ่ม STI ได้ในครั้งเดียว เช่น ซิฟิลิส HIV เริม และหนองในเทียม

ใครควรเข้ารับการตรวจหนองใน?

  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
  • ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน
  • ผู้ที่มีคู่นอนใหม่ โดยไม่ทราบประวัติทางเพศ
  • ผู้ที่มีอาการผิดปกติ เช่น ปัสสาวะแสบ หนองไหล เจ็บคอเรื้อรัง
  • ผู้ที่อยู่ในกลุ่มชายรักชาย (MSM) หรือกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงอื่น ๆ
โรคหนองใน รักษาหายไหม

โรคหนองในรักษาหายไหม?

คำตอบที่ชัดเจน คือ หายได้ หากได้รับการวินิจฉัยเร็ว และได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ปัจจุบันการรักษาหลักของโรคหนองในมักใช้วิธีผสมผสานระหว่างการฉีดยา และการกินยา

  • แนวทางการรักษาหลัก
    • Ceftriaxone (ซีฟทรีอะโซน): เป็นยาฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ขนาดมาตรฐานคือ 500 มิลลิกรัม ถึง 1 กรัม ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย และตำแหน่งติดเชื้อ
    • Azithromycin (อะซิโทรมัยซิน): ยาปฏิชีวนะในรูปแบบยากิน มักใช้ร่วมเพื่อรักษาการติดเชื้อร่วม เช่น หนองในเทียม
    • การใช้ยาทั้งสองตัวนี้ร่วมกันจะช่วยลดโอกาสของเชื้อดื้อยา และรักษาการติดเชื้อที่อาจมีมากกว่า 1 ชนิดในเวลาเดียวกัน
  • เชื้อดื้อยา ปัจจุบันมีรายงานว่าพบ เชื้อหนองในดื้อยา (Super Gonorrhea) เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น จีน และอังกฤษ ซึ่งยาที่เคยใช้รักษาได้ผลในอดีตเริ่มมีประสิทธิภาพลดลง และบางรายไม่ตอบสนองต่อยาหลายตัวพร้อมกัน ในประเทศไทย เริ่มมีการเฝ้าระวังเชื้อดื้อยาเช่นกัน ทำให้จำเป็นต้องติดตามผู้ป่วยหลังการรักษาเพื่อประเมินว่าอาการหายดีหรือไม่ และควรหลีกเลี่ยงการซื้อยากินเองโดยไม่ตรวจเชื้ออย่างเด็ดขาด
  • คำแนะนำหลังการรักษา
    • งดมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 7 วันหลังจากได้รับยา
    • คู่นอนควรได้รับการรักษาพร้อมกัน
    • ควรตรวจซ้ำ (test of cure) ประมาณ 1–2 สัปดาห์หลังจากรักษา หากอาการยังไม่ดีขึ้น หรือสงสัยเชื้อดื้อยา
    • หลีกเลี่ยงการกลับไปมีพฤติกรรมเสี่ยงเดิม เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ

การป้องกันโรคหนองใน

การป้องกันที่ได้ผลที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายตั้งแต่ต้น โดยสามารถทำได้ดังนี้

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ (ทุกช่องทาง)
  • หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
  • พูดคุยเปิดใจกับคู่เรื่องการตรวจ STI
  • เข้ารับการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ
  • ไม่ใช้อุปกรณ์ทางเพศร่วมกันโดยไม่ทำความสะอาด

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคหนองใน

  • หนองในกับการตั้งครรภ์: อันตรายแค่ไหน?
    • หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อหนองในเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนสูง เช่น คลอดก่อนกำหนด น้ำคร่ำน้อย และติดเชื้อในทารก โดยทารกอาจติดเชื้อที่ดวงตา หรือระบบทางเดินหายใจ หากไม่ได้รับการรักษา
    • ข่าวดีคือ หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถรักษาได้อย่างปลอดภัย โดยไม่กระทบต่อลูกน้อยในครรภ์
  • ตรวจหนองในบ่อยแค่ไหนจึงเหมาะสม?
    • หากคุณมีพฤติกรรมเสี่ยง ควรเข้ารับการตรวจ STI รวมถึงหนองใน อย่างน้อยทุก 3–6 เดือน แม้จะไม่มีอาการใดๆ เพื่อให้สามารถรักษาได้ตั้งแต่ระยะแรก และไม่แพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
  • หนองในสามารถติดซ้ำได้ไหม?
    • ใช่! การติดเชื้อหนองในไม่ได้ทำให้เกิดภูมิคุ้มกัน หมายความว่า คุณสามารถติดซ้ำได้หากกลับไปมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือคู่นอนยังไม่ได้รับการรักษา
  • หนองในกับคู่นอน: ต้องตรวจ และรักษาพร้อมกันไหม?
    • จำเป็นอย่างยิ่ง! หากคุณติดเชื้อหนองใน ควรแจ้งคู่นอนให้เข้ารับการตรวจ และรักษาพร้อมกัน เพื่อป้องกันการ ติดเชื้อวนซ้ำ และลดการแพร่กระจายเชื้อในชุมชน
  • หนองในกับโรคติดต่ออื่น: มีโอกาสติดร่วมกันไหม?
    • บ่อยครั้งที่ผู้ติดเชื้อหนองในยังตรวจพบโรคติดต่ออื่นร่วมด้วย เช่น หนองในเทียม(Chlamydia), ซิฟิลิส, เอชไอวี, ไวรัสตับอักเสบบี และซี, เริม (HSV) การตรวจสุขภาพทางเพศควรทำแบบครอบคลุม (STI Panel) เพื่อตรวจสอบการติดเชื้อร่วมอย่างครบถ้วน
  • หนองในรักษาเองได้ไหม? ซื้อยามากินเองอันตรายหรือเปล่า?
    • การซื้อยาปฏิชีวนะมากินเองโดยไม่ผ่านแพทย์มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะ อาจเลือกยาไม่ตรงกับเชื้อ ใช้ขนาดยาไม่เหมาะสม ทำให้เชื้อดื้อยา ทำให้อาการซับซ้อนขึ้น และยากต่อการรักษาภายหลัง
    • คำแนะนำที่ดีที่สุด คือ เข้ารับการตรวจ และรักษากับแพทย์ โดยเฉพาะที่คลินิกเฉพาะทางด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม

โรคหนองใน หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา หนองในสามารถก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายต่อชีวิตและระบบสืบพันธุ์ได้ แต่หากตรวจพบเร็ว และได้รับการรักษาจากแพทย์ที่เหมาะสม หนองในสามารถรักษาให้หายขาดได้ อย่ารอให้อาการรุนแรง หากคุณมีพฤติกรรมเสี่ยง ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ และอย่าลืมใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของคุณ และคนที่คุณรัก

เอกสารอ้างอิง

  • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Gonorrhea – Fact Sheet. ข้อมูลเกี่ยวกับโรคหนองใน การติดต่อ อาการ และแนวทางการรักษา. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.cdc.gov/std/gonorrhea/stdfact-gonorrhea.htm
  • World Health Organization (WHO). Gonorrhoea – Key Facts. ข้อมูลทั่วโลกเกี่ยวกับโรคหนองใน การป้องกัน และสถานการณ์ล่าสุด. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/gonorrhoea
  • World Health Organization (WHO). Global progress report on HIV, viral hepatitis and sexually transmitted infections, 2021. รายงานความคืบหน้าการควบคุมโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั่วโลก. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/publications/i/item/9789240027077
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. โรคหนองในและหนองในเทียม. ข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อ อาการ และการป้องกัน. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th/dmd/pagecontent.php?page=621
  • สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.). ตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงหนองใน ให้บริการฟรีปีละ 1 ครั้ง. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.nhso.go.th/news/view/1265

Similar Posts